Friday, March 8, 2024

Deep Work

 


หนังสือชื่อ  :  Deep Work

ผู้เขียน  :  Cal Newport

สำนักพิมพ์  :  Grand Central Publishing


เนื้อหาน่าสนใจค่ะ ถึงแม้สำนวนจะน่าเบื่อ และน้ำท่วมทุ่งก็ตาม แต่อ่านแล้วได้ไอเดียนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันที่ดีเลยค่ะ

ผู้เขียนบอกว่า ทุกวันนี้เทคโนโลยีหมุนเร็ว และเราก็เอาแต่วิ่งตามเทรนของเทคโนโลยี เพราะเรากลัวพลาดตกขบวน พลาดข่าวสารสำคัญๆ ทำให้เราติดโซเชียลมีเดีย ต้องเช็คเมล์ทุกสิบนาที ต้องดูอินเตอร์เน็ตเป็นระยะๆ ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง ต้องตอบเมล์ หรือตอบแชทให้เร็วที่สุด ต้องทวีตทุกวัน ฯลฯ ซึ่งกลายเป็นว่าอินเตอร์เน็ตมาก่อกวนสมาธิของเราในการทำงานที่สร้างคุณค่าค่ะ

Deep work คือการมีสมาธิจดจ่อกับงานที่สร้างคุณค่า ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับยุคนี้ ยุคที่อะไรๆ เปลี่ยนแปลงไวมาก ทักษะที่สำคัญที่ต้องมีคือ การเรียนรู้สิ่งที่ยาก ในเวลาที่รวดเร็ว ซึ่งสิ่งนี้จะทำไม่ได้เลยถ้าเราไม่มี deep work -- แต่อุปสรรคของ deep work คือ อินเตอร์เน็ตค่ะ เหล่าโซเชียลมีเดียที่ทำให้เราพะวง ต้องคอยเช็คเป็นระยะๆ 

deep work ตรงกันข้ามกับ shallow work 

Shallow work คืองานที่ไม่ก่อให้เกิดคุณค่า งานยุ่งๆ ที่ทำให้เหมือนยุ่ง แต่เป็นงานที่ไม่ต้องใช้ทักษะ ไม่ได้เพิ่มองค์ความรู้ เช่น การตอบอีเมล์ การประจำทุกเช้า ฯลฯ -- มันคืองานที่ดูเหมือนจำเป็นต้องทำ แต่ไม่จำเป็นต้องทำอย่างเร่งด่วนแบบตอบอีเมล์ทันทีที่ได้รับ อะไรขนาดนั้น -- งานพวกนี้ เราควรจำกัดมันให้ทำโดยใช้เวลาให้น้อยที่สุด เพื่อจะได้มีเวลาเหลือทำงานอะไรที่เป็น deep work และได้คุณค่ามากกว่าค่ะ

บางครั้งเรามักเข้าใจผิด และวัดประสิทธิภาพของงานด้วย shallow work เช่น ถ้าเราตอบอีเมล์เร็ว แสดงว่าเราเป็นคนทำงานเร็ว กระตือรือร้น ... แต่จริงๆ แล้ว อีเมล์ที่ตอบไป ไม่มีคุณค่าอะไร 

หนังสือหนา และยืดเยื้อ แบ่งเป็นสองภาค ภาคแรก เล่าถึงความสำคัญของ Deep Work ...อ่านข้ามได้ค่ะ ถ้าเรารู้อยู่แล้วว่ามันจำเป็น

ภาคที่สอง บอกถึงวิธีการฝึกทักษะ Deep Work โดยมี 4 กฎ คือ

กฎที่ 1 - Work Deeply

เริ่มด้วยวางแผนว่าเราจะทำงานอะไร ที่ไหน เป็นเวลาเท่าไร โดยทำแต่งานนั้นอย่างเดียวแบบไม่โดนขัดจังหวะ งานนั้นต้องเป็นงานที่ให้คุณค่าแก่เรา ช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายทั้งเป้าหมายส่วนตัว หรือเป้าหมายในสายงาน

ทำให้มันเป็นพิธีการค่ะ พิธีการทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่กำลังทำนั้นเป็นเรื่องสำคัญ 

เล่นใหญ่ เช่น อาจลงทุนซื้อคอร์สเรียน หรือในหนังสือยกตัวอย่างของ J.K. Rowling ที่จองห้องในโรงแรมหรูเพื่อใช้เวลาเขียนนิยายให้จบ โดยไม่โดนขัดจังหวะ ทั้งๆ บ้านของเธอก็อยู่ไม่ไกล

หนังสือได้เล่าถึงวินัย 4 อย่างที่เราควรสร้างขึ้น คือ

        1. โฟกัสในสิ่งที่สำคัญ มีเป้าหมายน้อยอย่าง และโฟกัสลงไปให้ลึกในสิ่งนั้น

         2. มีตัววัดความก้าวหน้า แนะนำให้ใช้เป็นตัววัดผลก่อนความสำเร็จ ตัวอย่างเช่น ร้านเบอเกอรี่มีเป้าหมายต้องการเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า ตัววัดผลก่อนความสำเร็จคือจำนวนขนมตัวอย่างที่แจกลูกค้าที่มาเข้าร้าน เป็นต้น -- แบบนี้ทำให้เราสามารถวัดผลได้ทุกวันๆ ทำให้แน่ใจว่าเราไม่ได้กำลังเดินไปผิดทาง หลงทางไปจากเป้าหมายที่ตั้งไว้

        3. เก็บเป็น score board เหมือนเกมส์นะคะ เก็บบันทึกไว้ในที่มองเห็นได้ กระตุ้นให้เราทำตามเป้าหมายอยู่เสมอทุกวัน

        4. มีการรีวิวผลสำเร็จหรือล้มเหลวเป็นประจำ

กฎที่ 2 - Embrace Boredom

งานที่ทำ หรือสิ่งที่เรียน ถึงแม้จะรู้ดี ตระหนักดีว่ามันสำคัญกับอนาคตของตัวเองแค่ไหน แต่หลายครั้งก็มีช่วงที่เบื่อๆ ค่ะ และเมื่อเบื่อ เราก็อดไม่ได้ที่จะคลิกดูอะไรน่าสนใจในอินเตอร์เน็ต กลายเป็นอินเตอร์เน็ตคือตัวขัดจังหวะความมีสมาธิของเรา

วิธีแก้คือ ใช้วิธีพักระหว่างโฟกัสทำงาน deep work แทน เช่น ระหว่างทำงาน เราก็เขียนโพสอิตแปะหน้าคอมพ์ไว้เลย ว่าเราจะพักดูอินเตอร์เน็ตรอบต่อไปตอนกี่โมง กี่นาที วิธีนี้จะทำให้เรามีสมาธิกับงานได้ดีขึ้น 

กฎที่ 3 - Quit Social Media

มองว่าอินเตอร์เน็ตเหมือนเครื่องมือชนิดหนึ่งค่ะ เหมือนช่างไม้ต้องมีค้อนเป็นเครื่องมือ และด้วยความเชี่ยวชาญ ช่างไม้ก็เลือกว่าจะใช้ค้อนนั้นทำอะไร ...ฉันใดก็ฉันนั้น อินเตอร์เน็ตไม่ได้ไร้ประโยชน์ แต่มันคือเครื่องมือเช่นเดียวกับค้อนของช่างไม้ เราจำต้องเรียนการใช้เครื่องมืออินเตอร์เน็ตให้เกิดประโยชน์กับงานของเราค่ะ

กฎที่ 4 - Drain the shallows

งานที่จำเป็นแต่ไม่ก่อให้เกิดคุณค่า พยายามทำมันให้น้อยที่สุด หนังสือแนะนำให้เราทำตารางทำงานของเราในทุกนาทีที่ทำงาน เพื่อตรวจสอบดูว่าเราทำงานที่เป็น Shallow work แต่ละวันมากแค่ไหน (เราจะแปลกใจว่า วันๆ เราหมดไปกับการทำงานที่ไม่ใช่งานในหน้าที่ที่เขาจ้างเรามาเยอะแค่ไหน และเราทำงานจริงๆ ที่เป็นงานที่เราต้องทำนั้นน้อยแค่ไหนค่ะ)

พยายามกำหนดเวลาทำงาน คือหลังเวลาเลิกงานก็ไม่ควรทำงาน หรือเอางานกลับมาทำอีก แบบนี้จะบังคับเราให้ต้องบริหารเวลาให้ดียิ่งขึ้น และทำแต่งานที่จำเป็นและก่อให้เกิดคุณค่า


Monday, February 26, 2024

The Guest List

 


หนังสือชื่อ  :  The Guest List

ผู้เขียน  :  Lucy Foley

สำนักพิมพ์  :  HarperCollinsPublishers Ltd


อ่านวางไม่ลงค่ะ อ่านเสียงานเสียการ เพราะผู้เขียนมีชั้นเชิงในการเล่าเรื่อง ทำให้เราคาใจ จึงต้องอ่านไปเรื่อยๆ พลิกหน้าไปเรื่อยๆ 

Jules และ Will กำลังจะแต่งงานกัน งานแต่งงานจัดขึ้นที่เกาะ Cormorant ไอร์แลนด์ คู่นี้เป็นคู่สมแห่งปีเลยค่ะ เจ้าสาวก็สวย ประสบความสำเร็จเป็นเจ้าของนิตยสารออนไลน์ ฝ่ายเจ้าบ่าวก็หล่อ เป็นดาราทีวี 

หนังสือเล่าสลับไปมาระหว่างเหตุการณ์ปัจจุบัน ในคืนวันแต่งงาน กับเหตุการณ์ที่เกิดก่อนหน้านั้น หนังสือเล่าในมุมของตัวละครแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็น 

Aoife - เวดดิ้งเพลนเนอร์ 

Hannah - ภรรยาของ Charlie เพื่อนสนิทของเจ้าสาว และดูเหมือน Charlie จะมีความหลังกุ๊กกิ๊กกับเจ้าสาว ในงานนี้ Hannah รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน เพราะไม่ใช่ทั้งเพื่อนเจ้าบ่าว และเพื่อนเจ้าสาว 

Jules - เจ้าสาว

Johnno - เพื่อนเจ้าบ่าว เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม  Johnno มีบุคลิกดูไม่น่าไว้ใจค่ะ เป็นคนที่ดูล้มเหลวในชีวิตเมื่อเทียบกับเพื่อนคนอื่นๆ ของ Will แต่ Johnno กำความลับดำมืดบางอย่างที่เขากับ Will ทำร่วมกัน

Olivia - น้องสาวคนละพ่อของ Jules อายุ 19 ปี และเป็นเพื่อนเจ้าสาว กำลังอกหักจากแฟนเก่า ... แต่ดูเหมือนมีบางอย่างมากกว่านั้น ...มากกว่าเรื่องของวัยรุ่นที่กำลังอกหักมากกว่ามาก

ในงานแต่งงาน จะมีแต่ญาติและเพื่อนสนิทเท่านั้นที่ได้พักค้างคืนเพื่อเตรียมงานบนเกาะ แขกคนอื่นๆ จะนั่งเรือมาในวันงานค่ะ

Will เจ้าบ่าว สนิทกับเพื่อนในสมัยมัธยมมาก พวกเขาเรียนในโรงเรียนประจำเอกชน โดยพ่อของ Will เป็นครูใหญ่ และดูเหมือนพวกเขาจะมีจารีตธรรมเนียมของโรงเรียนแบบผู้ชายๆ ค่ะ -- คือเหมือนพวกเขาถ้าอยู่เดี่ยวก็เป็นคนดีน่าคบแหละ แต่พอรวมกลุ่มกัน โดยมี Will เป็นหัวโจก กลับทำเรื่องแย่ๆ เช่น แกล้งรุ่นน้อง บูลลี่คนอื่น ได้อย่างไม่น่าเชื่อ และการแกล้งนี้ก็เลยเถิดไปจนเกินควบคุม .... พอวันนี้เป็นงานแต่งงาน พวกเขาก็กลับมารำลึกความหลังร่วมกัน

ถึงแม้เราจะพอเดาแรงจูงใจของความขัดแย้งได้ แต่ที่สนุกคือ เราแทบไม่รู้เลยว่ามีการฆาตกรรมเกิดขึ้นจริงหรือไม่ และใครคือคนตาย ใครคือคนฆ่า จนกระทั่งถึงท้ายเล่มค่ะ 

อ่านแล้วได้ข้อคิดว่า คนที่ชอบบูลลี่คนอื่น ก็คือคนเห็นแก่ตัวคนหนึ่งแหละ เขามองหาเหยื่อคนที่อ่อนแอกว่าเพื่อข่มแสดงอำนาจ และถ้าคนที่อ่อนแอกว่าหายไป เขาก็ไม่ได้สนใจ แยแสว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเหยื่อในสิ่งที่เขาทำ เขาทะเยอทะยานและมองเป้าหมายชีวิตต่อไปของเขา คือเขาไม่ได้คิดร้ายตั้งใจฆ่าเหยื่อทนไม่ไหวจนฆ่าตัวตาย แต่เขาไม่คิดอะไรเลยน่ะค่ะ ไม่สนใจไม่ได้เอาใจเขามาใส่ใจเราแม้แต่เสี้ยว คิดถึงแค่ความต้องการของตัวเองเท่านั้น

สรุป นี่คือนิยายเรื่องของการแก้แค้นค่ะ

If I can't move heaven,

then I shall raise hell.

Wednesday, February 21, 2024

8 Rules of Love

 


หนังสือชื่อ  :  8 Rules of Love

ผู้เขียน  :  Jay Shetty

สำนักพิมพ์  :  HarperCollinsPublishers


เป็นหนังสือที่อยากแนะนำให้คนที่ต้องการมีความสัมพันธ์ หรือรักษาความสัมพันธ์ที่จริงจังกับใครสักคนควรอ่านค่ะ ... นี่ไม่ใช่หนังสือรักๆ ใคร่ๆ โรแมนติกค่ะ มันเครียดกว่าที่คิด

ผู้เขียนเขียนโดยใช้คัมภีร์พระเวทของศาสนาฮินดูมาเป็นหลัก เนื่องจากผู้เขียนเคยบวชเป็นพระฮินดูมาก่อนน่ะค่ะ พระเวทบอกว่าความรัก มี 4 ระดับ แบ่งตามอาศรม คือ

1. Brahmacharya arhram --> เตรียมตัวที่จะรัก ซึ่งเริ่มต้นด้วยการรู้จักที่จะรักตัวเอง ในขั้นนี้มีกฎอยู่ทั้งหมด 2 ข้อ

2. Grhastha ashram --> ฝึกหัดรัก เรียนรู้ที่จะรักคนอื่น ในขณะที่ก็ยังรักตัวเองอยู่ด้วย ในขั้นนี้มีกฎ 3 ข้อ

3. Vanaprastha ashram -->  ปกป้องรัก เรียนรู้ที่จะรับมือกับข้อขัดแย้งระหว่างคนรัก พร้อมกันนั้นก็รู้ว่าเมื่อไรที่ถึงเวลาที่จะต้องปล่อยวางรักนั้น ในขั้นนี้มีกฎ 2 ข้อ

4. Sannyasa ashram --> รักที่สมบรูณ์ แพร่กระจายความรักไปยังทุกคน รักดิน รักน้ำ รักฟ้า ขั้นนี้มีกฎ 1 ข้อ

รวมทั้งหมดจึงเป็นกฎ 8 ข้อของความรักค่ะ

กฎข้อที่ 1 : Let Yourself be alone

อย่าเริ่มความสัมพันธ์เพียงเพราะกลัวที่จะอยู่คนเดียว หรือเพราะเหงา เพราะการทำแบบนั้นจะทำให้เราถลำไปเลือกคนผิด ...คนที่ดีจะมาในเวลาที่เหมาะ 

ในข้อนี้ สอนให้เราเรียนรู้ที่จะสันโดษ ให้เวลาอยู่กับตัวเอง เรียนรู้ความเป็นตัวของตัวเอง อะไรที่เราชอบหรือไม่ชอบค่ะ 

กฎข้อที่ 2 : Don't ignore your karma

กรรมคือการกระทำ ข้อนี้สอนให้เราลองหาประสบการณ์ใหม่ และเรียนรู้ว่าชอบหรือไม่ชอบสิ่งใหม่ที่ได้เรียนรู้นั้น 

กรรมในความหมายของคัมภีร์พระเวท คือ การตัดสินใจในปัจจุบันของคุณ (จะดีหรือไม่ก็ตาม) จะเป็นตัวกำหนดประสบการณ์ในอนาคตของคุณ ... ดังนั้น กฎข้อนี้คือ ให้เราลองเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ นั่นเอง โดยทำไปเพื่อตัวเองค่ะ ไม่ใช่เพื่อหาคู่แต่อย่างใด จำไว้ว่า อะไรที่เราต้องการได้รับจากคนอื่น อย่างแรกคือเราต้องให้สิ่งนั้นแก่ตัวเองก่อน เช่น อยากได้ความเคารพจากคนอื่น ก็ต้องเริ่มด้วยการเคารพตัวเองก่อน

กฎข้อที่ 3 : Define love before you think it, feel it, or say it

เตรียมตัวสำหรับการออกเดท เตรียมตัวสำหรับคู่ชีวิตในอนาคต ในข้อนี้นำเสนอ กฎ three-date rule คือ 

เดทแรก --> ถามตัวเองว่าเราชอบบุคลิกของเขาหรือไม่ ชอบหน้าตา หรือนิสัยของเขาหรือไม่  ถ้าชอบก็คบต่อ 

เดทสอง --> ถามตัวเองว่าเราชอบสิ่งที่เขาทำหรือไม่ แนวคิด ทัศนคติของเขาหรือไม่ ถ้าชอบก็คบต่อ

เดทสาม --> เป้าหมายในชีวิตของเขาคืออะไร เรารับได้หรือไม่ และพร้อมที่จะช่วยให้เขาบรรลุถึงเป้าหมายนั้นหรือไม่

คือให้คิดซะว่า กำลังหาเพื่อนร่วมทีมน่ะค่ะ ... นี่ไม่ใช่หนังสือรักโรแมนติก แต่คือหนังสือที่สอนให้รักแบบใช้สมอง

กฎข้อที่ 4 : Your partner is your guru

เมื่อเป็นคนรักกันแล้ว ให้เรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน

กฎข้อที่ 5 : Purpose comes first

ทุกคนต่างมีเป้าหมาย หรือความฝันในชีวิต ค้นหาให้เจอ และสนับสนุนซึ่งกันและกัน ...ผู้เขียนยกตัวอย่างเช่น คู่รักคู่หนึ่ง ฝ่ายหญิงต้องการเป็นนักธรรมชาติบำบัด ส่วนฝ่ายชายอยากฝึกซ้อมเพื่อลงแข่งไตรกีฬา (ความฝันในชีวิตไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเงิน หรืออาชีพนะคะ เป็นอะไรที่เราอยากทำ) ทั้งคู่จึงต้องวางแผนร่วมกันเพื่อให้ทั้งคู่บรรลุในสิ่งที่ฝัน

กฎไม่ได้สอนให้เราสละความฝันของเราเพื่อคนรัก แต่ให้เรามานั่งคุยกัน ประนีประนอมกันเพื่อให้บรรลุถึงสิ่งที่ฝันด้วยกันทั้งคู่

กฎข้อที่ 6 : Win or lose together

กล่าวถึงเรื่องข้อขัดแย้ง เวลามีเหตุที่ทำให้คู่รักต้องทะเลาะกัน เห็นไม่ตรงกัน ... บางครั้งต่างคนต่างเอาชนะคะคานกัน แต่ในฐานะที่เป็นคู่รักกัน ไม่มีคำว่าใครแพ้ใครชนะหรอกค่ะ ถ้าคนหนึ่งเถียงชนะอีกคน ก็แปลว่าแพ้กันทั้งคู่ ... เพราะทั้งคู่คือทีมเดียวกัน 

หนังสือเตือนด้วยว่า ส่วนใหญ่ความขัดแย้งใหญ่โตเกิดขึ้นจากการใช้ "โทนเสียง" ที่ผิด ...คือไม่ได้เจตนาแย่ แต่เมื่อคำที่ใช้มันบาดลึก หวังจะให้อีกฝ่ายเจ็บปวดให้มากที่สุด อีกฝ่ายก็เลยต้องตั้งป้อมป้องกันตัวเอง จากนั้นก็กลายเป็นอยู่กันคนละฝั่ง และก็ทะเลาะกันใหญ่โตบานปลาย...

กฎข้อที่ 7 : You don't break in a breakup

เมื่อไปต่อไม่ไหว ก็ต้องปล่อย ... กฎข้อนี้กล่าวถึงการเลิกความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นเราเป็นฝ่ายบอกเลิก หรือเป็นฝ่ายถูกเลิก ...การทำใจ การพยายามกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง ชอบประโยคหนึ่งในหนังสือค่ะ บอกว่า

"Something is breaking, but you are not that something."

คือความสัมพันธ์อาจจะแตกสลาย แต่ไม่ใช่จิตวิญญาณในตัวเรา เรายังเป็นเรา และเราจะเรียนรู้บทเรียนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เพื่อนำไปปรับใช้ในชีวิต ในความสัมพันธ์ใหม่ในอนาคต

กฎข้อที่ 8 : Love again and again

ความรักที่ยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าการรักกันระหว่างหนุ่มสาว คือความรักที่พร้อมให้แก่ทุกคน ถึงจุดที่เรียกว่า "กรุณา" ในพระเวท 

วิธีที่ดีที่สุดในการสัมผัสความรัก คือการให้ความรัก

หนังสือสอนให้รู้จักมอบความรักจากจุดเล็กๆ คือครอบครัว ขยายไปยังเพื่อน เพื่อนร่วมงาน ชุมชน คนแปลกหน้า องค์กร และโลก ... แค่ใจดีต่อกันบ้าง เมตตาต่อกันบ้างค่ะ

"You can seek love your whole life and never find it, or you can give love your whole life and experience joy."

---

ความรู้สึกระหว่างอ่านคือ ...เครียดอ่าาาาา... หวังว่าจะได้อ่านเรื่องรักโรแมนติก มาเจอรักแบบใช้สมอง 55 แต่ดีค่ะ อ่านแล้วต้องใจจะเอามาปรับใช้กับตัวเองเลยค่ะ รักก็เหมือนปลูกต้นไม้ล่ะค่ะ เราต้องรดน้ำ ดูแลทุกวัน ต้องใส่ใจในรัก 

หนังสือเขียนโดยอ้างอิงศาสนาฮินดู ซึ่งใกล้เคียงกับศาสนาพุทธค่ะ บางตอนยังอ้างถึงศาสนาพุทธมหายาน หรือนิกายเซน เพราะด้วยภูมิหลัง จึงทำให้คนไทยพุทธอย่างเราอ่านได้เข้าใจลึกซึ้งกว่าการอ้างพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเสียอีกค่ะ


Saturday, February 10, 2024

Cold Case Reboot ไขคดีปริศนา แฟ้มคดีลำดับที่ 02 วังวนแห่งความแค้น


 

หนังสือชื่อ  :  Code Case Reboot ไขคดีปริศนา

                                 แฟ้มคดีลำดับที่ 02 วังวนแห่งความแค้น

ผู้เขียน  :  ฝานลั่ว

ผู้แปล  :  หลิงฮวา

สำนักพิมพ์  :  บริษัท เบเกอรี่บุ๊ค จำกัด


ยังคงเป็นการไขคดีในแผนกแช่แข็ง เกี่ยวกับคดีที่ปิดไม่ลง ยังหาตัวคนร้ายไม่ได้ ทีมตำรวจในคดีนี้ นำโดย เซียวหลานเฉ่า ที่ดูยังไงๆ ก็ไม่มีมาดตำรวจ (เจ้าสำอางค์ และหล่อเกินไป) ขวัญใจตำรวจสาวๆ ทั้งสถานี กับคู่หูคือ กานเฟิ่งฉือ ที่ในอดีตก่อนย้ายมาอยู่แผนกนี้ มีนิสัยชอบใช้กำลังก่อนสมอง ...แต่หัวหน้าอย่างเซียวหลานเฉ่ากลับไม่โดนกานเฟิ่งเฉินทำร้ายร่างกายอย่างอัศจรรย์ (แต่โดนด่าในใจไปแล้ววันละหลายรอบ)

เริ่มต้นด้วยแผนกแช่แข็งมาช่วยตำรวจในแผนกอาชญากรรมสอบสวนคดีฆ่าหั่นศพค่ะ คดีนี้พัวพันกับสโมสรไพ่บริดจ์หาวฟู่ ทั้งคู่ต้องปลอมตัวเข้าไปเล่นไพ่ แต่คดีสืบยังไม่ถึงไหนเลย กานเฟิ่งฉือปวดท้อง ไส้ติ่งอักเสบ จึงต้องนำส่งโรงพยาบาลด่วน

กานเฟิ่งฉือกลัวการผ่าตัดขึ้นสมอง เพราะตอนเด็ก มีเพื่อนสนิทเสียชีวิตจากการผ่าตัดไส้ติ่ง ทำให้เขาฝังใจกลัวการเข้าโรงพยาบาลไปเลย การเสียชีวิตของเพื่อนเขาเป็นข่าวดังในสมัยนั้นด้วยค่ะ เพราะหลังจากโต้วอิงเพื่อนเขาเสียชีวิตไม่นาน พยาบาลที่ต้องสงสัยว่าทำงานพลาดก็กระโดดตึกฆ่าตัวตาย

เซียวหลานเฉ่าฟังเรื่องของกานเฟิ่งฉือแล้วเอะใจ เลยไปสืบสวนหาสาเหตุการตายที่ชัดเจน (อารมณ์ใจดีจะได้เอาหลักฐานมาปลอบใจการกลัวการผ่าตัดของกานเฟิ่งฉือ) สืบไปมาก็เห็นเงื่อนงำผิดปกติ เพราะพยาบาลสวีหยวนซิวที่ฆ่าตัวตายนั้น เป็นพยาบาลที่มีประสบการณ์สูง ไม่น่าจะทำงานพลาดง่ายๆ แบบนี้ 

ในขณะเดียวกันทางด้านคดีฆ่าหั่นศพก็มีความคืบหน้า จับตัวคนร้าย ที่รับสารภาพว่าหั่นศพแยกชิ้นส่วนได้แล้ว แต่คนร้ายปฏิเสธว่าไม่ได้ฆ่า บวกกับผลทางนิติเวชก็ยืนยันว่าผู้ตายตายจากโรคหัวใจ 

เป็นเรื่องบังเอิญมาก ที่ตอนกานเฟิ่งฉือปวดท้องนั้น คนที่ไปเจอคือคุณหมอสวีหลีเซิ่ง ซึ่งคุณหมอคนนี้คือคนเดียวกับที่พยายามจะให้คีย์การ์ดเปิดเข้าในในห้อง VIP ของสโมสร แต่ไม่สำเร็จ ...ต่อมาก็เฉลยว่า คุณหมอกำลังตามสืบเรื่องสโมสรหาวฟู่ เนื่องจากเพื่อนของคุณหมอหายตัวไปลึกลับ กลัวว่าจะโดนลักพาตัว เบาะแสสุดท้ายคือในสโมสรไพ่บริดจ์หาวฟู่แห่งนี้นั้นเอง

เรื่องมันพัวพันยุ่งเหยิงไปมา มีคนเกี่ยวข้องมากมาย ดูเหมือนมีหลายคดี ...แต่ทั้งหมดกลายเป็นเรื่องเดียวกัน! นักเขียนเขียนได้สนุกมาก ที่ทำปมให้มันซับซ้อนแล้วก็ค่อยๆ คลายปมทีละน้อยๆ ระหว่างนั้นก็คั่นด้วยบรรยากาศเบาๆ ภายในทีมแช่แข็ง (กานเฟิ่งฉืนตกหลุมรักเพื่อนร่วมแผนกคนใหม่ค่ะ อยากจีบเธอเป็นแฟน แต่ค่อนข้างยากนิดหนึ่ง เพราะสองตาของเธอมีไว้มองแต่พ่อเทพบุตรเซียวหลานเฉ่าเท่านั้น)

คนแปลก็แปลดีค่ะ การใช้คำต่างๆ ดีมากเลย ให้บรรยากาศของนิยายว่าเป็นนิยายเอเชียนะ อย่างเรียกเจ้าของกิจการ ก็ใช้คำว่า เถ้าแก่ แทนเจ้าของ เป็นต้น มุกเล่นคำภาษาจีนก็มีคำอธิบายให้คนอ่านเข้าใจ ถือว่าแปลได้ดีมากเลยล่ะค่ะ

 



Cold Case Reboot ไขคดีปริศนา แฟ้มคดีลำดับที่ 01 ความทรงจำสังหาร

 


หนังสือชื่อ  :  Cold Case Reboot ไขคดีปริศนา

                                แฟ้มคดีลำดับที่ 01 ความทรงจำสังหาร

ผู้เขียน  :  ฝานลั่ว

ผู้แปล  :  หลิงฮวา

สำนักพิมพ์  :  บริษัท เบเกอรี่บุ๊ค จำกัด


สนุกกว่าที่คิดค่ะ เดิมคิดว่าเป็นนิยายวายรักๆ ใคร่ๆ ...แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลยค่ะ เป็นนิยายสืบสวนออกแนวเบาๆ ค่ะ 

เมื่อกานเฟิ่งฉือ นายตำรวจเลือดร้อน มีดีที่มาจากตระกูลร่ำรวย ก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับประชาชนทั้งที่อยู่ในเครื่องแบบ เลยโดนเด้งจากเดิมอยู่ตำรวจจราจรมาอยู่แผนกแช่แข็ง ทำคดี cold case แทน -- ที่ได้มาอยู่แผนกนี้ เพราะไม่มีใครเอาแล้วค่ะ อยู่แผนกไหนก็ไม่เคยเกินสามเดือน ต้องมีเรื่องชกต่อยไม่กลับใครก็ใคร (หัวหน้าตัวเองก็ยังโดนต่อยเลยค่ะ) เป็นพวกใช้อารมณ์ก่อนสมอง ทั้งๆ ที่สมองดี จบเอกคณิตศาสตร์จาก MIT 

เมื่อกานเฟิ่งฉือต้องมาเผชิญหน้ากับหัวหน้าคดีแผนกแช่แข็ง คือ เซียวหลานเฉ่า หนุ่มเจ้าสำอางค์ ใส่สูทเนี้ยบ จนได้ฉายาจากตำรวจหญิง (ที่มีอยู่คนเดียวในสถานี) ว่า "พ่อเทพบุตร" -- กานเฟิ่งฉือก็ได้เรียนรู้ความอดทนอดกลั้น เพราะเขาอยากต่อยหน้าหล่อๆ ของหัวหน้าวันละหลายๆ รอบ แต่ต้องยั้งใจไว้ เพราะแผนกนี้คือแผนกสุดท้ายที่ยังรับเขาเข้าร่วม 

คดีของแผนกแช่แข็งตอนนี้คือ มีคนเจอโครงกระดูกในป่า เป็นผู้หญิง เสียชีวิตมาเป็นสิบปีแล้ว จึงต้องสืบให้ได้ว่าเป็นใคร

ระหว่างนั้นความซวยก็มาเยือนกานเฟิ่งฉือ เพราะเขาต้องเป็นผู้ต้องหาสังหารแฟนเก่าอย่างโหดเหี้ยม! ที่เขาตกเป็นผู้สงสัยก็เพราะเขาคือคนสุดท้ายที่มีเรื่องทะเลาะกับคู่ควงคนใหม่ของแฟนเก่าค่ะ และแฟนเก่าที่อยู่ตรงนั้นด้วย ก็เข้าข้างแฟนใหม่ (แหงล่ะ!) อารมณ์ผู้หญิงบอกเลิกแล้ว แต่ยังตัดใจไม่ได้ ยังไปวอแวกับเขาอยู่อีก

กานเฟิ่งฉือเลยได้เห็นน้ำใจของหัวหน้าแผนกก็คราวนี้ เพราะเขามาช่วยสืบจนเป็นที่ประจักษ์ว่า กานเฟิ่งฉือไม่ใช่ผู้ต้องสงสัย

ขณะเดียวกันก็มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นติดๆ กัน คนร้ายคือคนเดียวกับที่สังหารแฟนเก่าของกานเฟิ่งฉือ กลายเป็นว่า ตำรวจกำลังเผชิญกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องโดยที่ผู้ตายทั้งหมดไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย

คนแรกคือ หยวนย่วน แฟนเก่าของกานเฟิ่งฉือ ถูกฆาตกรใช้มีดแทงอย่างโหดเหี้ยม ขณะกำลังพลอดรักกับแฟนใหม่ในรถในที่เปลี่ยวแห่งหนึ่ง

คนที่สองคือ ทนายความหญิง ฟั่นอวิ้น ถูกฆาตกรแทงตายในบ้านของตัวเอง (คนนี้ตายก่อน หยวนย่วน แต่ตำรวจมาเจอศพที่หลัง)

คนที่สามคือ หลินเซียว เด็กมัธยม ถูกฆาตกรแทงตายขณะเดินไปโรงเรียน

ทั้งสามคนไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย อยู่กันคนละที่ ไม่มีใครรู้จักกัน 

หนังสือสนุกตรงที่ทำเรื่องที่ดูจะไม่เกี่ยวข้องกันให้เชื่อมร้อยโยงเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว พร้อมๆ กับขำๆ กับพฤติกรรมหลงตัวเองของหัวหน้าเซียวหลานเฉ่า และการด่าหัวหน้าในใจของกานเฟิ่งฉือ รวมถึงพฤติกรรมสายลับระดับแบบตัวอยู่ค่ายโจโฉแต่ใจอยู่ที่ดินแดนฮั่น

Tuesday, February 6, 2024

Missing, Presumed

 


หนังสือชื่อ  :  Missing, presumed

ผู้แต่ง  :  Susie Steiner

สำนักพิมพ์  :  The Borough Press en HarperCollinsPublisher


ยืดเยื้อ น้ำท่วมทุ่ง เล่าเรื่องที่เป็นเรื่องส่วนตัวของตำรวจที่ทำคดี ซึ่งเรื่องนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับคดีเลย ทำให้นิยายเป็นเล่มหนาโดยไม่จำเป็น

เริ่มจากตำรวจได้รับแจ้งเหตุคนหาย ชื่อ Edith Hind อายุ 24 ปี หายตัวไปจากที่แฟลตพักโดยประตูบ้านเปิดอ้าไว้ ภายในมีรอยเลือด แต่ไม่มีร่องรอยการต่อสู้

เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่ เพราะ 1) Edith สวย 2) เก่ง กำลังเรียนปริญญาเอกที่เคมบริดจ์ 3) Edith เป็นลูกสาวคนมีชื่อเสียง พ่อของเธอคือเซอร์ Ian เป็นศัลยแพทย์ประจำตัวของราชวงศ์ด้วย 

การหายตัวของเธอลึกลับ และดูเหมือนไม่มีอะไรคืบหน้าสักอย่างเลยค่ะ ไม่มีเบาะแส ไม่มีอะไรเลย ผู้คนรอบตัวเธอก็ปกติ ต่างทุกข์ใจกับการหายตัวไปของเธอกันทั้งสิ้น ไม่มีใครมีพิรุธเลย -- ผู้ต้องสงสัยที่ตำรวจหมายหัวคือ Tony Wright เพราะมีประวัติเป็นอดีตนักโทษอุกฉกรรจ์ที่เพิ่งออกจากคุกก็มีที่อยู่ชัดเจนในวันเกิดเหตุ ตำรวจก็เลยเอาผิดไม่ได้

ต่อมามีการเจอศพของเด็กชายวัยรุ่น Taylor Dent ลอยมาเกยแม่น้ำ แต่ตำรวจก็หาความเชื่อมโยงระหว่าง Edith ที่หายตัวไป กับศพเด็กชายไม่ได้ ทั้งคู่ไม่เคยรู้จักกัน ชีวิตไม่เกี่ยวข้องกันเลย ดังนั้นสุดท้ายตำรวจก็เลยต้องแยกคดีนี้ออกเป็นสองคดี -- คดีคนหายของ Edith และคดีฆาตกรรมเด็กชาย Taylor Dent 

แต่สุดท้ายแล้วทั้งหมดนี้กลับเชื่อมโยงกันอย่างคาดไม่ถึง! 

พล็อตเรื่องสนุกนะคะ คาดเดาไม่ได้ -- แต่เขียนน้ำเยอะเกินไป เล่าชีวิตส่วนตัวของตำรวจที่ไม่เกี่ยวอะไรกับคดีเลย อย่าง Manon ตำรวจโสดวัย 39 ที่กำลังล่าหารถไฟขบวนสุดท้าย เพราะอยากแต่งงานมีลูก แต่ติดขัดที่ยังไม่เจอคนรู้ใจ -- แล้วก็เล่าเรื่องดราม่าชีวิตครอบครัวของเธอ เรื่องออกเดต แฟน อกหัก ฯลฯ คือไม่เกี่ยวอะไรกับคดีเลย (คาดว่า นักเขียนคงจะปูพื้นเพื่อเขียนเรื่องการสืบสวนของ Manon แบบเป็นซีรีย์ต่อไป) 

หรือเรื่อง Davy ตำรวจใจดี ที่คอยเป็นโค้ชให้แก่เด็กที่มีปัญหา แต่มันไม่เกี่ยวอะไรกับคดีเลย และไม่เข้าใจว่านักเขียนหยิบคาแรกเตอร์ของตำรวจคนนี้มาเล่าทำไม? 



Thursday, January 18, 2024

The Trouble with Goats and Sheep

 


หนังสือชื่อ  :  The Trouble with Goats and Sheep

ผู้แต่ง  :  Joanna Cannon

สำนักพิมพ์  :  HarperCollinsPublishers


เป็นวรรณกรรมเยาวชนค่ะ อ่านสนุก มีเสน่ห์ในการเล่าเรื่อง ทำให้เรื่องที่ถึงแม้จะดำเนินเรื่องเรื่อยๆ ไม่หวือหวา แต่กลับจับความสนใจของคนอ่านได้ จนวางไม่ลง ต้องอ่านจนจบ

เรื่องเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน 1976 ค่ะ ยุคสมัยที่เพื่อนบ้านยังรู้จักกัน ไปมาหาสู่กัน และจับกลุ่มทำสิ่งต่างๆ ร่วมกัน ผู้คนส่วนใหญ่ยังเคร่งศาสนา ไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ -- เรื่องเกิดขึ้นที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในอังกฤษ เป็นอะเวนิว (คล้ายๆ วงเวียน) แล้วมีบ้านตั้งรายล้อมอะเวนิวนั้น บ้านที่ตั้งรอบๆ อะเวนิวได้แก่

บ้านเลขที่ 2 -- บ้านของ Thin Brian และแม่ May Roper

บ้านเลขที่ 4 -- บ้านของ Grace Bennentt อายุ 10 ขวบ กับพ่อ Derek และแม่ Sylvia

บ้านเลขที่ 6 --  บ้านของ Dorothy Forbes และสามี Harold Forbes

บ้านเลขที่  11 -- บ้านของ Walter Bishop

บ้านเลขที่ 8 -- บ้านของ John Creasy และภรรยา Margaret Creasy

บ้านเลขที่ 10 -- บ้านของ Eric Lamb

บ้านเลขที่ 12 -- บ้านของ Sheila Dakin กับลูกสาว Lisa และลูกชาย Keithie

บ้านเลขที่ 14 -- บ้านของ Aneesha Kapoor กับสามี Amit Kapoor และลูกชาย Shahid

เรื่องมันเริ่มจาก วันหนึ่ง Margaret Creasy จากบ้านเลขที่ 6 หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หายแบบไม่ได้เอาอะไรติดตัวไปเลย แม้แต่รองเท้า ไม่มีจดหมาย จู่ๆ ก็หายไป

Grace กับเพื่อนรัก Tilly พยายามสืบหาว่า Mrs. Creasy หายไปไหน พร้อมกับสงสัยว่าพระเยซูเจ้าอยู่ที่ไหน เด็กทั้งสองเชื่อว่า ถ้าหาพระเยซูเจอ ทุกคนในหมู่บ้านก็จะปลอดภัย รวมถึง Mrs. Creasy ก็จะกลับมา

ตามพระคัมภีร์ (ตามที่ Grace เล่า) พวกเราทุกคนคือแกะที่ต้องการคนเลี้ยงแกะนำทาง เมื่อเวลามาถึง พระองค์จะแยกแกะและแพะออกจากกัน แกะอยู่ด้านขวาของพระองค์ และแพะอยู่ด้านซ้าย

ปัญหาคือ ใครคือแพะ และใครคือแกะ ... มันยากที่จะแยกว่าคนไหนคือคนดี และคนไหนคือคนไม่ดี 

เรื่องเล่าในมุมของ Grace มีเขียนสลับบทตามแต่ละบ้านบ้าง

ในมุมคนอ่าน เราจะได้เห็นความคิดแบบเด็กๆ น่ารัก ไม่มีพิษมีภัย แต่ฉลาด มีมุมมองที่ผู้ใหญ่อย่างเราคิดไม่ถึง รวมถึงเห็นความไม่ชอบมาพากลของคนในหมู่บ้าน ดูเหมือนแต่ละคนมีความลับบ้างอย่างที่ไม่อยากพูดออกมา ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ทารกหายตัวไป และไฟไหม้บ้านเลขที่ 11 เมื่อเกือบสิบปีก่อน

สนุกค่ะ เสียแต่ตอนจบเป็นจบแบบปลายเปิด เลยไม่รู้เลยว่า Mrs. Creasy หายตัวไปทำไม หายไปโดยไม่บอกสามีด้วยซ้ำ คืออ่านจนจบ Mr. Creasy ก็ไม่ได้ทำอะไรผิด แล้วหายไปไหนตั้งเป็นเดือน คือเป็นปริศนาที่หนังสือไม่ได้เฉลย คาใจอ่ะ